เบื้องลึกการตั้งกำแพงภาษี สหรัฐรู้ตัวว่ากำลังจะแพ้จีนด้านเศรษฐกิจ



1. ถ้ามีประเทศนึงขาดดุลการค้า 40% ของ gdp จะไม่ให้ตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องตัวเองหรอ? ต้องดูให้ดีๆนะครับว่าทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีไม่ได้เพื่อป้องกันตัวเอง แต่เพื่อก่อสงครามการค้าต่างหาก เพราะทรัมป์เกรงกลัวว่าจีนจะล้ำหน้าทางด้านเศรษฐกิจ

ถ้าทรัมป์ไม่สกัดจีน ภายในปี 2032 เศรษฐกิจของจีนจะมีขนาดใหญ่กว่าของสหรัฐ เมื่อเศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐ จีนจะมีอำนาจการต่อรองทางเศรษฐกิจมากกว่าสหรัฐ รวมท้ังเรื่องการเงินด้วย เงินหยวนจะมีความน่าเชื่อถือกว่าเงินดอลล่าร์โดยปริยายเมื่อถึงเวลานั้น เพราะว่าปริมาณการค้า และขนาดของเศรษฐกิจจะหนุนความน่าเชื่อถือของค่าเงิน เหมือนกับสถานภาพของดอลล่าร์ในเวลานี้

เวลาตั้งกำแพงภาษี ตามปกติเขาจะขึ้นภาษีศุลกากร (customs tariff) กับสินค้านำเข้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในเช่นรถยนต์ ส่ิงทอ หรือเหล็ก แต่ทรัมป์ขึ้นภาษีแบบเทกระจาดเพื่อให้พังกันไปข้างหนึ่ง คือเก็บสินค้านำเข้าจากจีนในปริมาณ $250,000ล้านไปแล้ว
ในอัตรา 25% สำหรับ $50,000ล้านแรก และ 10% สำหรับ
$200,000ล้านหลัง ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในปริมาณ $257,000ล้านที่เหลือ ซึ่งถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง จะทำให้สินค้าทุกชิ้นที่ส่งเข้าสหรัฐจะโดนกำแพงภาษีหมด

ในการตั้งกำแพงภาษี ทรัมป์ไม่ได้ปกป้องอุตสาหกรรมภายใน แต่ทรัมป์ต้องการทำลายภาคการส่งออกของจีน เพื่อให้จีดีพีจีนทรุด เกิดการว่างงาน ซึ่งโดยภาพรวมแล้วจะทำให้จีนเสียแรงเหวี่ยงในช่วงของการเปลี่ยนถ่ายในการการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ภาคการบริโภคภายใน เพราะว่าจีนต้องการลดการพึ่งพาการส่งออกอยู่แล้ว แต่ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มาโดนทรัมป์ล้มโต๊ะเสียก่อน

2. การตั้งกำแพงภาษีเป็นการแก้ปัญหาของเศษฐกิจสหรัฐหรือไม่ ? ไม่มีใครเห็นพ้องว่า มาตรการภาษีของทรัมป์จะได้ผล เพราะว่าคนอเมริกันจะซื้อของแพงขึ้น ในขณะเดียวกันสินค้าของสหรัฐที่ส่งออกไปยังจีนจะขายไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง พลังงาน เครื่องบิน เพราะว่านอกจากภาษีจะแพงขึ้น จีนจะยกเลิกคำสั่งซื้อ

ตกลงเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย แต่ประเด็นคือใครจะยืนหยัดได้นานกว่ากัน

เหมือนเราชกมวยกับคู่ชก โดนต่อยโดนเตะ เจ็บด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
แต่ใครจะทนเจ็บได้นานกว่ากัน เพื่อที่จะชนะในยกท้าย หรือทำคะแนนได้มีชัยในที่สุด

เห็นได้ชัดเจนว่า ทรัมป์เหมือน Mike Tyson ที่ต้องการน็อคจีน
ใน 2-3 ยกแรก แต่สี จิ้นผิงเล่นเกมยาว สามารถทนหมัดทรัมป์ได้ เพราะว่าจีนมีภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง ส่วนสหรัฐเป็นผู้บริโภค
ใช้ระบบหนี้นำ สี จิ้นผิงวางแผนแล้วว่า ให้ภาคการส่งออกจีนเลิกขายของให้สหรัฐภายใน 2 ปี วัดใจกันไปเลย ไม่อยากค้าขายกันดีๆ ก็ไม่ต้องค้าขายกัน จีนไม่ได้ง้อ เพราะว่าสามารถขายของให้เอเชีย ยุโรป และแอฟริกาได้

แต่อย่างไรเสีย สหรัฐต้องนำเข้าอยู่ดี เมื่อจีนไม่ขายของให้ สหรัฐก็ต้องนำเข้าจากแหล่งอื่น คือเอเชีย และยุโรป

ประเด็นคือระบบ supply chain ของการผลิตอุตสาหกรรม และอีเลคโทรนิกส์ของโลกมีศูนย์กลางที่จีน ท้ายที่สุดสหรัฐอาจจะซื้อของจากยุโรป หรือเอเชีย แต่สินค้านั้นก็ต้องมีอุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนประกอบหลักมาจากจีนอยู่ดี เพราะว่าจีนคุม supply chain และจะหาใครมาทดแทนจีนยาก ญี่ปุ่นยังสู้ไม่ได้

เราจะได้เห็นว่า ระหว่างผู้ซื้อ (อเมริกา) กับ ผู้ขาย (จีน) หรือระหว่างลูกหนี้ (สหรัฐ) เจ้าหนี้ (จีน) ใครจะอึด หรือยืนหยัดได้นานกว่ากันในการแลกหมัดของสงครามการค้าในครั้งนี้

3. มาตรการภาษีของทรัมป์ผิดกฎ WTO หรือไม่? คำตอบคือผิดแน่นอน จีนเอาเรื่องกำแพงภาษีของทรัมป์ไปฟ้องที่หน่วยงาน
Dispute Settlement ของ WTO เรียบร้อยแล้ว
ประเด็นคือ สหรัฐตั้ง WTO เพื่อหลอกให้ทุกประเทศลดกำแพงภาษีศุลกากร รวมท้ังลดอุปสรรคของการทำธุรกิจ หรืออุปสรรคของการลงทุนของต่างชาติ

เพื่อให้บริษัทอเมริกาได้ประโยชน์ตั้งแต่ยุค 1960s เป็นต้นมาที่การเปิดเสรีทางการค้า (trade liberalization) เป็น narrative หรือหลักการบริหารเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ทุกประเทศถูกหลอกให้เปิดเสรี พอเปิดเสรีแล้ว ทุนต่างชาติก็เข้ามาควบคุมระบบเศรษฐกิจ รวมท้ังภาคการผลิต

เรื่องแบงกิ้งและการเงิน สหรัฐได้ประโยชน์เต็มที่ โดยมีดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกอยู่แล้วยิ่งได้เปรียบ เพราะว่าก่อหนี้เป็นดอลล่าร์ได้ไม่จำกัด ไม่มีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
ประชาธิปไตย Democracy, การค้าเสรี Free Trade การเปิดเสรีภาคธุรกิจ การเงินและการผลิตทุกส่วน Liberalization จึงกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจของแต่ละประเทศโดยมีสหรัฐเป็นผู้นำ

แต่หลังวิกฤติปี 2008 สหรัฐเริ่มเห็นว่า ที่ตัวเองได้เปรียบจากการค้าเสรี จาก WTO จากภาษีต่ำๆ มันหมดยุคไปแล้ว เพราะว่าจีน และประเทศเกิดใหม่เริ่มมีการพัฒนาขึ้น ทำให้สหรัฐต้องเป็นผู้ซื้อ ต้องก่อหนี้เพื่อซื้อ เพราะว่าไม่สามารถผลิตต่อไปได้เนื่องจาก cost ในการผลิตในสหรัฐสูงมาก

พูดง่ายๆ สหรัฐไม่มีความสามารถในการแข่งขันในการผลิตอีกต่อไป ดอลล่าร์ก็กำลังถูกหยวนท้าทาย จึงเกิดปรากฎการณ์ทรัมป์เพื่อล้มการค้าเสรี และล้ม WTO ซึ่งเป็นหลักพหุภาคี multilteralism เพื่อหันมาใช้ระบบทวิภาคี (umilateralism) ที่สหรัฐคิดว่าตัวเองได้เปรียบ เพราะว่าสามารถขนกองเรือรบมาบีบให้ประเทศคู่ค้ายอมจำนนกับข้อตกลงการค้าใหม่ที่จะให้สหรัฐได้เปรียบต่อไป หลังจากที่ได้เปรียบมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว สหรัฐไม่ต้องการสูญเสียความเป็นมหาอำนาจ

4. เรื่องการเสียเปรียบดุลการค้า ทรัมป์ตีโพยตีพายไปเอง เพราะว่าโมเดลการค้าโลกในปัจจุบัน สหรัฐเป็นผู้ออกแบบให้ตัวเองเสียเปรียบดุลการค้าอยู่แล้ว เพราะสหรัฐเป็นระบบเศรษฐกิจของผู้บริโภค (consumer-led economy) ต่างกับจีนที่เป็นเศษฐกิจของการผลิต หรือการส่งออก (export-led economy, manufacturing-led economy) ไทยก็เป็นเศษฐกิจของการส่งออก (export-led economy) และการท่องเที่ยว (tourism-led economy)

บริษัทอเมริกันได้ทำการย้ายฐานผลิตไปนอกประเทศ ไปผลิตที่เม็กซิโก จีน เอเชีย แล้วส่งของที่ผลิตกลับมาขายในตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหรัฐออกแบบโมเดลให้คนอื่นผลิต สหรัฐบริโภคอย่างเดียวด้วยการก่อหนี้ หรือพิมพ์ดอลล่าร์ไม่อั้นเพื่อใช้จ่ายเกินตัว

การที่ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก ทำให้สหรัฐจำต้องการดุลการค้า หรือรัฐบาลต้องขาดดุลงบประมาณ เพื่อที่จะออกบอนด์มาก่อหนี้ ต่างประเทศที่ได้ดอลล่าร์จากการขายของให้สหรัฐจะได้เอาดอลล่าร์มารีไซเคิล เพื่อมาซื้อบอนด์สหรัฐเพื่อได้ดอกเบี้ย บอนด์สหรัฐถือว่าเป็นทรัพย์สินทางการเงินที่มีเกรดความน่าเชื่อถือสูงสุด

จะเห็นได้ว่าสหรัฐแทบจะไม่ได้ผลิตอะไรอีกเลย ยกเว้นเครื่องบิน อาวุธ น้ำมัน ก๊าซ สินค้าเกษตรบ้าง แต่สินค้าอุปโภคบริโภคสหรัฐไม่มีการผลิต ทำให้ภาคการผลิตมีสัดส่วนเหลือเพียง 7-8% ต่อจีดีพี เพราะสหรัฐคิดว่าจะครองโลกผ่าน

1. อุตสาหกรรมอาวุธ
2. ผ่านการเงินของวอลล์สตรีท
3. ผ่านความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี

โดยสหรัฐจะไม่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค แต่เศรษฐกิจภายในจะขับเคลื่อนด้วยการบริโภค ไม่ว่าจะเป็นอสังหาฯ หรือรีเทล และภาคบริการต่างๆ

ในช่วงที่ผ่านมา สูตรของสหรัฐใช้ได้ดีทำให้คนอเมริกันมีความสุข ร่ำรวย มีบ้านใหญ่โตกันทั้งนั้น ไปห้างซุปเปอร์ที ซื้อของเต็มรถ แต่ที่รวยกว่าคือวอลล์สตรีทและบริษัท Fortune1000 ท้ังหลาย
ที่ควบคุมระบบเศรษฐกิจโลก

5. แต่สูตรของความสำเร็จทุกอย่างมันไม่ยั่งยืน ในกรณีของสหรัฐกำลังเจอปัญหาคือ

1. แสนยานุภาพทางทหารถูกรัสเซียท้าทาย อาวุธรัสเซียมีคุณไม่แพ้อาวุธสหรัฐ บางอย่างดีกว่าด้วยซ้ำ F-35 ที่ว่าแน่ที่สุดของสหรัฐเจอ
S-400 ของรัสเซียสอยร่วงเป็นว่าเล่น

2. จะพิมพ์ดอลล่าร์ไม่อั้นไม่ได้อีกต่อไป เพราะว่าจีนไม่โง่ที่จะขายของให้สหรัฐตลอด เพราะว่ายิ่งขายยิ่งจนลง เพราะว่าจะได้กระดาษดอลล่าร์ที่ไร้ค่ามาครอบครอง จีนจึงหาทางลดการใช้ดอลล่าร์
หันมาโปรโหมทเงินหยวนแทน โดยจะให้มีทองคำหนุนหลัง ไม่เหมือนดอลล่าร์กระดาษที่พิมพ์ออกมาเปล่าๆ ไม่มีหลักทรัพย์หนุนหลัง หยวนจะท้าทายดอลล่าร์ได้ต่อเมื่อมาร์เก็ตแค็ปของจีนใหญ่พอ หรือได้ขนาด ตอนนี้จีนจึงเร่งสร้างมาร์เก็ตแค็ปให้ใหญ่ สร้างเศรษฐกิจให้มีขนาดใหญ่ เพิ่มปริมาณการค้าขายให้ใหญ่ วอลล์สตรีทจะไม่สามารถผูกขาดด้านการเงินได้อีกต่อไป

3. จีนกำลังท้าทายความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีของสหรัฐ เราได้แต่ข่าวจากทรัมป์ว่าจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐ ในอดีตอาจจะจริง แต่ตอนนี้ จีนล้ำหน้ากว่าสหรัฐแล้วด้านเทคโนโลยี สามารถพึ่งพาตัวเองได้ 5G ของหัวเว่ยไม่มีบริษัทอเมริกันใดสู้ได้ ถึงต้องลักพาตัวทายาทหัวเว่ยไปไง เอไอ ไอที รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต จีนล้ำหน้าไปมากแล้ว และอีก 10 ปี สหรัฐตามไม่ทัน

การตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์ส่อให้เห็นว่า สหรัฐรู้ตัวว่ากำลังจะแพ้จีนด้านเศรษฐกิจ อีกไม่กี่ปีจะโดนแซง จึงต้องเข็นทรัมป์ออกมาใช้นโยบาย America First ซึ่งดูให้ดีๆ เป็นนโยบายล้มสูตรสำเร็จในอดีตของสหรัฐที่ในเวลานี้ใช้ไม่ได้ ต้องทำลายคู่ต่อสู้อย่างเดียว เพื่อเอาข้อตกลงการค้าใหม่แบบทวิภาคีที่สหรัฐจะได้เปรียบ โดยต้องการให้จีนเปิดเสรีเศรษฐกิจทุกด้าน ให้จีนเลิกส่งเสริม Made in China 2025 จีนตอบว่าไปเจรจาพูดคุยกับผียังดีกว่า

6. การเข้าใจเรื่องการบริหารเงินหยวนคลาดเคลื่อน ที่บอกว่าจีนเอาเปรียบสหรัฐด้วยการให้เงินหยวนอ่อนค่าจะได้ขายของได้ จะได้เปรียบดุลการค้า

ความจริงสหรัฐเอาเปรียบคนท้ังโลกจากการผูกขาดดอลล่าร์ที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก ที่สหรัฐพิมพ์ออกมาได้ไม่จำกัด ตอนนี้เงินทุกสกุลในโลกเป็นเงินบริวาร (surrogates) ของดอลล่าร์
สินค้า commodities ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ทอง ถั่วเหลือง โค๊ดราคาเป็นดอลล่าร์ทั้งนั้น

เราอยู่ในยุค Dollar Standard หรือมาตรฐานดอลล่าร์ ที่พัฒนามาจากยุคมาตรฐานทองคำ (gold standard) เดิมทีค่าเงินทุกสกุลบนโลกผูกกับทองคำที่มีจำนวนจำกัด สมัยก่อนดอลล่าร์สหรัฐก็ผูกกับทองคำ ทำให้ค่าเงินคงที่ ไม่ผันผวน ขึ้นลงรายวันเหมือนทุกวันนี้ เศรษฐกิจมีความมั่นคง เงินเฟ้อต่ำ

หลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 สหรัฐชนะสงครามโลก มีทองคำสำรองมากที่สุดในโลก ได้สร้างดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลก ผ่านการตรึงดอลล่าร์กับทองคำที่ $35 ต่อออนซ์ ใครถือดอลล่าร์ ก็เท่ากับถือทองคำ เพราะว่าดอลล่าร์ is as good as gold ไม่พอใจก็เอาดอลล่าร์มาขึ้นทองกับหน้าต่างของธนาคารกลางของสหรัฐได้ ไทยและประเทศต่างๆจึงผูกค่าบาทกับค่าดอลล่าร์ ซึ่งก็เท่ากับผูกกับทองคำทางอ้อมอีกที โดยมีสหรัฐรับประกัน

แต่สหรัฐจอมเบี้ยวอยู่แล้ว พิมพ์ดอลล่าร์ใช้เกินตัว เกินทองคำที่มีอยุ่ทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ คนเลยแห่ทิ้งดอลล่าร์ถือทองแทน
พอทองคำจะหมดตู้ สหรัฐเลยเบี้ยว default ด้วยการยกเลิกมาตรฐานทองคำ ไม่ให้แลกทอง แต่ให้ทุกประเทศใช้ดอลล่าร์เหมือนเดิม โดยที่ดอลล่าร์ไม่มีทองหนุนหลัง โลกจึงเข้าสู่ยุค dollar standard หรือเงินกระดาษดอลล่าร์ที่ความจริงไม่มีมาตรฐาน

ในเมื่อดอลล่าร์ไม่อิงทอง ไม่อิงหลักทรัพย์ใดๆ มันก็แกว่ง โลกเข้าสู่ยุคค่าเงินลอยตัว จากที่เคยคงที่ มากลายเป็นไม่คงที่

จีนพอเริ่มเปิดประเทศก็ต้องโกยดอลล่าร์เข้ากระเป๋าให้หนัก เพราะว่าเงินหยวนไม่มีความน่าเชื่อถือ วิธีการให้หยวนน่าเชื่อถือคือ
ต้องอิงดอลล่าร์ หรือต้องมีดอลล่าร์ในทุนสำรองฯ เวลาคนไม่พอใจหยวน จีนมีดอลล่าร์บนหน้าตักให้แลกตลอด เพื่อให้หยวนคงเส้นคงวาจีนจึงผูกค้าหยวนกับดอลล่าร์แบบล็อคมือไปด้วยกัน เมื่อหยวนมีค่าเสถียร ทำให้ค้าขายได้ เศรษฐกิจจีนจึงเติบโตต่อมา

จะบอกว่าจีนเอาเปรียบสหรัฐด้านการค้าที่ทำให้ค่าหยวนอ่อนไม่ได้ เพราะว่าสหรัฐขี้โกงตั้งแต่แรก และระบบการเงินโลกอยู่ในระบบ Fiat currency หรือเงินกระดาษที่ไม่มีทรัพย์สินใดๆมารองรับอยู่แล้ว โดยที่สหรัฐเป็นผู้ออกแบบ จีนเป็นเพียงผู้ตาม เล่นตามเกมสหรัฐ แต่จีนเก่ง เล่นจนเจ้ามือกำลังจะแพ้ จึงเกิดปรากฎการณ์ทรัมป์ขึ้นเพื่อล้มโต๊ะ เข้าใจกันหรือยัง

ปีที่แล้ว จีนได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ $375,000ล้าน แต่บริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจในจีนมีรายได้ $400,000ล้าน เท่ากับว่าสหรัฐยังได้เปรียบการค้ากับจีน เวลาเราพูดเรื่องการค้าต้องดูบัญชีดีๆ แต่ทรัมป์ตีโพยตีพายเหมือนกับว่าจีนเอาเปรียบทุกอย่าง แต่ทรัมป์หาเรื่องแบบนี้ ต่อไป บริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจในจีนอย่าหวังว่าจะเจริญรุ่งเรืองเหมือนเดิม

หวังว่าคำชี้แจงของแอดมินจะทำให้เข้าใจเกมมหาอำนาจที่เขากำลังเล่นกันตามนี้ เราต้องรู้ให้ทัน

ทนง ขันทอง
เบื้องลึกการตั้งกำแพงภาษี สหรัฐรู้ตัวว่ากำลังจะแพ้จีนด้านเศรษฐกิจ เบื้องลึกการตั้งกำแพงภาษี สหรัฐรู้ตัวว่ากำลังจะแพ้จีนด้านเศรษฐกิจ Reviewed by admin on 3:06 AM Rating: 5

No comments