ไล่ล่าจารชน ความลับเบื้องหลังการทำงานด้านข่าวกรอง จากอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ



มาทำงานวันแรกของปี เห็นหนังสือ "ไล่ล่าจารชน" วางอยู่บนโต๊ะ ชื่อผู้เขียน "ภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์" อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติหราอยู่บนปก

หยิบพลิกออกมาอ่านแล้วขอสารภาพว่า มือสั่นและวางไม่ลงเลยทีเดียว

ความลับเบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญๆหลายเหตุการณ์ของบ้านเมืองอยู่ในหนังสือเล่มนี้เลยครับ

"ไล่ล่าจารชน"เล่าเรื่องการทำงานด้านข่าวกรองที่นอกจากจะได้ครบมิติคือ ความรู้ของงานด้านสายลับแล้ว ยังเล่าถึงวิวัฒนาการงานด้านการข่าวกรองและมีกรณีตัวอย่างเล่าประกอบอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

เป็นสามมิติที่ครบเครื่องทั้งหลักวิชาและเลือดเนื้อที่เต้นเร่าจากเหตุการณ์จริง

อาทิ ท่านเล่าถึงการทำงานข่าวกรองในยุคสงครามเย็น สมัยภัยคอมมิวนิสต์คุกคามประเทศว่า แรกๆนั้นหน่วยข่าวยังไม่ค่อยรู้อะไรได้แต่ติดตามสะกดรอยคนที่เป็นเป้าหมาย

"...เพิ่งมารู้ทีหลังหลายปีต่อมาว่า ตัวใหญ่ๆของพคท.นั้นมีองค์กรบังหน้าเป็นร้านวัสดุก่อสร้างในซอยบนถนนเจริญกรุงใกล้กับกรมไปรษณีย์กลาง..."

แม้จะถ่ายรูปคนเข้าออกได้หมดแต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครคือ คนสำคัญ

หน่วยข่าวตาม นายทรง นพคุณ นายวิรัช อังคถาวร โดยไม่รู้ว่าสองคนนี้มีตำแหน่งสูงขนาดไหนรู้แต่ว่าน่าจะเป็นคนสำคัญและนายทรงนั้นก็มีลวดลายต่อต้านการสะกดรอยชั้นครูที่ทำเอาเจ้าหน้าที่หัวปั่น

การตามนายทรงนำไปสู่ นายรวม วงศ์พันธ์ รวมทั้งตาม พันโทพโยม จุลานนท์ คุณพ่อของอดีตนายกฯสุรยุทธิ์ จุลานนท์ ก่อนที่คนเหล่านี้จะรู้ว่า "เสียลับ" แล้ว เลยทิ้งเมืองเข้าป่า

"ไล่ล่าจารชน"สาธยายไว้ละเอียดทั้งในเรื่องคอมมิวนิสต์ในเมืองและในป่า

ท่านผู้เขียนระบุด้วยว่า หน่วยความมั่นคงได้แอบส่งนักศึกษาเข้าไปแทรกซึมอยู่ในหมู่คนที่พากันเข้าป่ายุคนั้นด้วย ขณะที่ซีไอเมืองไทยก็ส่งคนของซีไอเอเข้าไปโดยซ่อนเอาอุปกรณ์บอกพิกัดตำแหน่งติดไปด้วยเช่นกัน

ไล่ล่าจารชน ยังให้ภาพอีกด้านว่า บรรดานายพลไทยเองก็แข่งกันว่า ใครจะทำให้นักศึกษากลับใจได้มากกว่ากัน นั่น ทำให้นักศึกษาบางคนมีเส้น พอออกจากป่ามาแล้ว ไม่ทันจะสอบปากคำเสร็จก็มีคำสั่งให้หยุดสอบปากคำเฉยๆ เสียอย่างนั้น

ทำไมแกนนำนักศึกษาบางคนออกจากป่าแล้วได้ไปเรียนต่อในสหรัฐ ในหนังสือเล่มนี้มีคำตอบ

บอกแล้วว่า สนุกจนวางไม่ลง

เพิ่งได้ความรู้ใหม่และหูตาสว่างจาก "ไล่ล่าจารชน" ด้วยว่า ที่ประเทศเราแพ้ความคดีเขาพระวิหารในศาลโลกนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีคนไทยขายชาติ

เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของฝรั่งเศสซึ่งอำพรางตัวมาในคราบเลขานุการโทในสถานทูตฝรั่งเศสได้วางแผนให้คนไทยเชื้อชาติฝรั่งเศสสองคน "รีครูท" ข้าราชการไทยเข้าร่วมขายความลับของชาติให้ฝรั่งเศส

"...เท่าที่พิสูจน์ทราบได้มี 6 คนๆหนึ่งทำงานอยู่ในทำเนียบนายกรัฐมนตรี อีกคนทำงานอยู่กองกลางกระทรวงมหาดไทย อีกคนทำงานอยู่ในสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย อีกคนทำงานอยู่ในสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย มีตำรวจสองคนๆหนึ่งอยู่สายสารบรรณ กรมตำรวจ และอีกคนเป็นเวรนำสาร ทั้งหมดล้วนเข้าถึงเอกสารลับของทางราชการทั้งสิ้น..."

สายลับคนหนึ่งสารภาพในเวลาต่อมาว่า ได้ค่าตอบแทนเดือนละหนึ่งหมื่นบาทซึ่งตอนนั้นผู้จบปริญญาตรีได้รับเงินเดือนราว 900 บาท

วิธีการที่ทำกันคือ

"เมื่อส่วนราชการหนึ่งต้องส่งเอกสารลับไปถึงอีกส่วนราชการหนึ่งเช่น จากมหาดไทยไปทำเนียบและกระทรวงการต่างประเทศ หรือจากกรมตำรวจไปมหาดไทย ฯลฯ สายลับที่ทำหน้าที่นำสารแทนที่จะไปส่งโดยตรงกลับนำไปมอบให้นายมิเชล ลามาช ที่สวนลุมพินีบ้าง ที่ใกล้สถานทูตฝรั่งเศสบ้างและรอคอยเอาคืนมา ซองเอกสารลับจะถูกเปิดในสถานทูต ถ่ายสำเนาไว้ และนำกลับคืนให้ผู้นำสารให้นำส่งต่อไปยังจุดหมายโดยผู้รับไม่รู้เลยว่า ซองนี้ได้ถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว ทำอย่างนี้เป็นประจำ

เป็นที่น่าตกใจที่การตรวจสอบภายหลังการจับกุมพบว่าในช่วงปี 2501-2508 สำเนาโทรเลขที่รับ-ส่งระหว่างกรุงเทพฯกับสถานทูตไทยในต่างประเทศที่หลุดรั่วไปถึงฝรั่งเศสมีจำนวนไม่น้อยกว่า 576 ฉบับ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นความลับเกี่ยวกับท่าทีของไทยในการต่อสู้คดีเขาพระวิหาร ทั้งนี้ไม่รวมเอกสารลับอื่นๆอีกนับร้อยฉบับ ถือว่า เป็นความเสียหายร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์..."

ท่านผู้เขียนบอกว่า ปี 2505 เราเสียปราสาทเขาพระวิหารเพราะมีจารชนไทยขายชาติ แต่หลังๆนี้ ประเทศคู่ความไม่จำเป็นต้องสร้างจารชน (secret agents) แล้วเพราะน่าจะมีสายลับอิทธิพล (Agent of Influence) ซึ่งอาจจะเป็นคนมีตำแหน่งใหญ่โต เป็นผู้มีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายที่แอบไปตกลงแลกผลประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่รู้ก็ได้

สำหรับจารชนที่ขายชาติในครั้งนั้นถูกจับกุมดำเนินคดีไปแล้วแต่ไม่คุ้มกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นเลย

"ไล่ล่าจารชน" ให้ข้อมูลจารชนจีน เอฟบีไอ คีจีบี จารชนเวียตนาม ฯลฯ ไว้อย่างเห็นภาพว่า ทำงานกันแบบไหน ชอบนัดพบกันที่ไหนเช่น คีจีบีชอบนัดพบตามโรงแรมย่านสุขุมวิท เป็นต้น

เรื่องจารชนจีนนั้นน่าสนใจยิ่งเพราะมีการเล่าถึงนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนที่มีชื่อเสียง เดินทางไปจีนแล้วถูกบีบบังคับให้เป็นสายลับ ไม่เช่นนั้นญาติที่อยู่ในจีนจะต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้าย

ที่สุดนักธุรกิจซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนทางการเมืองและเป็นสนับสนุนนายทหารใหญ่ในกองทัพก็ต้องตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นจารชนจีนไปในที่สุด

ท่านผู้เขียนไม่ได้เอ่ยนามใครแต่ถ้าอ่านดีๆและพอมีภูมิในเรื่องอดีตอยู่บ้างก็คงเดาได้ว่า คนผู้นั้นคือใคร และเมื่อรู้แล้วก็จะประหลาดใจอย่างที่สุดเพราะแทบไม่น่าเชื่อว่า คนระดับ มีชื่อเสียงขนาดนั้นคือ จารชน

ดังที่บอกข้างต้นว่า "ไล่ล่าจารชน"ให้ความรู้เรื่องการข่าวกรอง งานสายลับ การทำงานของจารชน และวิวัฒนาการเรื่องนี้ของประเทศโดยมีตัวอย่างประกอบอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ดังตัวอย่างที่ยกไปแล้วแต่ยังทำให้เราเห็นความเป็นไปในเรื่องสำคัญๆหลายเหตุการณ์ ซึ่งตัวอย่างเหล่านั้นไม่ได้มีแต่เรื่องเก่าในอดีตเท่านั้นแต่มีเรื่องเหตุการณ์ร่วมสมัยอีกหลายเรื่องเช่น การจับกุมนายฮัมบาลีในไทย เบื้องหลังเหตุระเบิดที่ซอยปรีดีพนมยงค์เมื่อปี 2555 นั้นคือ กลุ่มผู้ก่อการร้ายอิหร่านมาวางแผนสังหารทูตยิวในไทย ฯลฯ รวมทั้งเบื้องหลังเรื่องการก่อการร้ายอีกหลายๆครั้งที่เกิดในประเทศของเรา

บางเรื่องก็คาดไม่ถึงมาก่อนเช่น สำนักข่าวกรองแห่งชาติเคยถวายรายงานเรื่องวัดแห่งหนึ่งซึ่งกำลังมีชื่อเสียอยู่ในปัจจุบันแด่อดีตสมเด็จพระสังฆราชด้วย เป็นต้น

ความรู้บางอย่างจะพาเราไปถึงบางอ้อ เช่น ทำไมผู้ก่อการร้ายต่างชาติชอบมาเมืองไทยกันนัก และภาพจริงของกระบวนการพูดคุยเรื่องสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญความไม่สงบในภาคใต้ ฯลฯ

ท่านผู้เขียนระบุไว้ในตอนท้ายว่า งานของสำนักข่าวกรองแห่งชาติเป็นปฏิบัติการในทางลับ เป็นงานปิดทองหลังพระ ดังเช่นพระราชนิพนธ์เรื่อง นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ

ท่านเล่าเรื่องพวกนี้ไว้ก็เพราะต้องการบอกว่า สำนักข่าวกรองแห่งชาติใช้เงินภาษีของประชาชนทำงาน และยืนยันได้ว่า ได้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า จึงอยากให้ประชาชนได้ทราบบ้างว่า หน่วยงานนี้ได้ทำอะไรให้กับบ้านเมืองบ้าง

เรื่องที่เล่าก็จะเป็นเรื่องเก่าเกิน 5 ปี ไปแล้ว จะไม่เล่าเรื่องปัจจุบันเพราะจะกระทบต่องานและจะเป็นอันตรายต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง ชื่อที่เปิดเผยในหนังสือก็จะเป็นคนที่เสียชีวิตไปแล้วหรือเจ้าตัวยินยอมให้เปิดเผยเท่านั้น

"ไล่ล่าจารชน" เป็นหนังสือที่ยากที่จะหาอ่านได้ และเป็นหนังสือแนวนี้เล่มแรกของประเทศเรา เขียนจากประสบการณ์ตรงของผู้ที่ยังอยู่ พอได้อ่านแล้วก็วางไม่ลง ส่วนหนึ่งอาจเพราะสังคมไทยเป็นสังคมที่มีเรื่องลึกลับดำมืดอยู่ไม่น้อย และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นเสมือนไฟที่ส่องให้เห็นความลึกตื้นของปมหลายอย่างที่เกิดขึ้น แม้จะไม่สว่างโพลนไปทั้งหมดแต่ก็ทำให้เห็นกระจ่างชัดเลยทีเดียว

นอกจาก นักข่าว นักเขียน นักเคลื่อนไหวทางสังคม พวกชอบคุยกับคนตามสถานทูต นักการทหาร จารชน ฯลฯแล้ว คนทั่วไปที่สนใจเรื่องการบ้านการเมืองหรือผู้เป็นเจ้าของภาษีทั้งหลายควรจะได้อ่านหนังสือเล่มนี้โดยทั่วกัน

รู้ไว้ไม่เสียหลายและจะได้ไม่หน่อมแน้ม

อย่าได้ไปมองหา "ไล่ล่าจารชน" ตามร้านหนังสือทั่วไปเพราะไม่มีวางขาย เหตุเพราะเอเยนต์และร้านค้าเรียกเก็บ 40% ของราคาปกแต่ท่านผู้เขียนเจตนาให้รายได้ส่วนหนึ่งสมทบเข้ามูลนิธิชัยพัฒนา อีกส่วนตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือลูกหลานข้าราชการในสำนักข่าวกรองแห่งชาติ จึงมอบให้ศูนย์หนังสือจุฬาฯ เป็นผู้จำหน่ายเพียงผู้เดียว

เล่ามาขนาดนี้แล้ว รีบไปหาอ่านเสียสิ จะเฉยอยู่ทำไม...

หมายเหตุ ขอขอบคุณ ท่านผู้เขียน คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ ของขวัญปีใหม่ชิ้นนี้ถูกใจมากครับ


ภัทระ คำพิทักษ์
ไล่ล่าจารชน ความลับเบื้องหลังการทำงานด้านข่าวกรอง จากอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ไล่ล่าจารชน ความลับเบื้องหลังการทำงานด้านข่าวกรอง จากอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ Reviewed by admin on 1:46 AM Rating: 5

No comments