เมื่อฟองสบู่โลกแตก ประเทศไทยจะเจ็บตัวน้อยมาก



คนทั่วโลกรู้ปัญหาหมดว่า ทั้งโลกเกิดสภาวะเศรษฐกิจหดตัวและเสื่อมถอยไปทั้งโลก มันเริ่มตั้งแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐเมื่อหลายปีก่อน และสหรัฐใช้วิธีแก้ปัญหาแบบ QE คือพิมพ์ธนบัตรออกมาจำนวนมาก โดยไม่มีเงินทุนสำรองมารองรับมูลค่าธนบัตร แต่อาศัยเครดิตที่คนทั่วโลกเชื่อใจว่า ประเทศอเมริกาเป็นลูกหนี้ที่ไม่มีวันเจ๊ง

และการพิมพ์ธนบัตรครั้งนั้น ก็เพื่อให้คนอเมริกาหอบเงินออกมาซื้อหุ้นปั่นหุ้น และปั่นราคาทองไปทั่วโลก เพื่อให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจตื่นตัวแบบฟองสบู่ คือช่วงนั้น ราคาหุ้น ราคาทองขึ้นแบบไม่มีปัจจัยอะไรบวกเลย แต่ก็ขึ้นๆเอาๆแบบมีการเก็งกำไรกันเป็นทอดๆ

และผลของนโยบาย QE นี่เอง ที่กำลังทำงานแบบมุมเบอแรง คือมันกำลังนำปัญหาเดิมวนกลับมา แต่การกลับมาคราวนี้ ไม่เจ๊งเพียงแค่สหรัฐเท่านั้น มันลุกลามไปทั่วโลกแล้ว จากการเอาเงินไปปั่นให้เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่นี่เอง

และที่แปลกก็คือ คนไทยส่วนมากกลับไม่เคยรู้ว่า ทั่วโลกกำลังเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยนี้อยู่ กำลังซื้อของคนทั่วโลกค่อยๆหายไป คนเป็นหนี้กันมากขึ้น เพราะที่ผ่านมานิยมใช้เงินกู้มากกกว่าเงินกู (ที่มีอยู่จริงในกระเป๋า) เพราะรัฐบาลในหลายประเทศชอบใช้นโยบาย ให้ประชาชนใช้เงินอนาคตมาหมุนใช้จ่าย เพื่อสร้างภาพหลอกๆว่า เศรษฐกิจในประเทศของตนดี

ซึ่งจะผิดกับของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะรัฐบาล คสช.นี้ ที่ไม่นิยมให้คนไทยใช้เงินกู้ หรือเงินในอนาคตมาใช้สร้างภาพเศรษฐกิจเทียม แต่เน้นให้คนไทย ใช้เงินจริง เงินทุนจริงๆ มาจับจ่ายใช้สอย และมาทำธุรกิจ จึงทำให้สภาพคล่องของตลาดไทยดูไม่คึกคัก เพราะเงินทุนนอกระบบไม่มาไหลหมุนเวียนในเศรษฐกิจไทยในช่วง 4 ปีมานี้

ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อเสียคือ ทำให้คนไทยในประเทศ จะรู้สึกได้ว่า การค้าขายไม่ดี เงินในตลาดมีน้อย หมุนเวียนกันไม่มาก เศรษฐกิจเลยดูเหมือนจะซบเซากว่าแต่ก่อน เพราะรัฐบาลชุดก่อนๆ ชอบใช้นโยบายให้คนไทย เอาเงินกู้ในอนาคตมาใช้ก่อน มันเลยดูเหมือนเศรษฐกิจดูดี เพราะเงินในตลาดมีเยอะ แต่มันไม่ใช่เงินจริงๆ ที่ทุกคนมีอยู่จริงในปัจจุบัน

แต่ข้อดี ของการใช้มาตราการแบบนี้ก็คือ ยามเมื่อฟองสบู่แตกไปทั่วโลกแบบนี้ ประเทศไทยจะเจ็บตัวน้อยมากถึงน้อยที่สุด เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราก่อหนี้ที่ไม่เกิดรายได้น้อยมาก ประชาชนรู้ถึงความไม่คล่องตัวของตลาด จึงไม่พยายามก่อหนี้โดยไม่จำเป็น เราจึงสามารถอยู่ได้ในสภาวะเศรษฐกิจของโลกซบเซาแบบนี้

ปล. ถ้าใครจำ วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ได้ ช่วงนั้นเศรษฐกิจไทยเฟื่องฟูสุดๆ ตั้งแต่สมัยนายกชาติชาย เพราะเงินกู้จากต่างประเทศไหลเข้าประเทศเป็นว่าเล่น กู้กันแบบดอกเบี้ยถูกเหมือนได้เปล่า นักธุรกิจจึงพากันกู้มาลงทุน มาซื้อหุ้นปั่นหุ้น เก็งกำไรที่ดิน เก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์กันเพียบเลย และเมื่อฟองสบู่แตกเท่านั้นแหละ ประเทศไทยฉิบหาย ถึงขั้นหายนะเลย เงินบาทตกจาก 24 บาท ไปเป็น 52 บาท/ดอลล่าร์ คนไทยกลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้นแบบเท่าตัวทันทีเลย

และเมื่อเราผ่านวิกฤตช่วงปี 2540 นั้นกันมาแล้ว เราก็ควรจะเรียนรู้จากบทเรียนครั้งนั้นว่า อย่าไปพองตัวให้มันดูใหญ่เกินตัวกันนัก เพราะถึงคราวท้องมันแตก มันจะสาหัสกันทั้งประเทศ เราแค่พองตัวเล็กๆน้อยๆ แบบปัจจุบันนี้แหละดีที่สุดแล้ว เพราะถ้ามันแตก มันก็แค่เป็นผิวถลอกกันแค่นั้น

หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจปัจจุบันจะพบว่าหลายประเทศในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market ที่มีไทยรวมด้วย) ประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ

อย่างกรณีเวเนซุเอลาเคยประสบปัญหาเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปกว่า 180% และคาดการณ์กันว่าจะแตะระดับ 1,000,000% (ฟังไม่ผิดครับ 1 ล้าน%)

ผลคือระดับราคาสินค้าต่างๆในเวเนซุเอลาแพง (มาก) ยกตัวอย่าง กระดาษชำระ 1 ม้วนราคาเป็นเงิน 347 บาท (ประเทศไทย 5 บาท) ข้าว 1 กก. 333 บาท

ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าสินค้าอย่างอื่นราคาจะเป็นยังไง ทำให้ประชาชนในเวเนซุเอลาต้องหนีความลำบาก เกิดอาชญากรรม แย่งอาหารกัน บางรายถึงกับต้องคุ้ยขยะกิน ....

นอกจากนี้เวเนซุเอลาแล้วยังมีตุรกีและอาเจนติน่า ที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจเช่นกัน โดยค่าเงินของทั้ง 2 ประเทศเกิดการอ่อนค่ารุนแรงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

ผลกระทบคือจะทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าต่างๆสูงขึ้น และใครก็ตามที่มีหนี้สกุลต่างประเทศจะทำให้มูลค่าหนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวแม้จะมีจำนวนหนี้เท่าเดิม

(คล้ายประเทศไทยเมื่อช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540)

ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วประเทศเหล่านี้มีปัญหามาจากต้นตอเศรษฐกิจ กล่าวคือ อาเจนติน่าและตุรกี ประสบปัญหาเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นมาก 27.8% และ 12.6% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีดุลย์บัญชีเดินสะพัดเทียบต่อ GDP ที่ติดลบ (ดุลย์บัญชีเดินสะพัดคือ ผลรวมสุทธิของ ดุลการค้า(ส่งออก นำเข้า) ดุลย์บริการ(ท่องเที่ยว) และอื่นๆอีกนิดหน่อย

เมื่อพิจารณาที่ประเทศไทยแล้ว

เรามีเงินเฟ้อเพียง 1.5%

ส่งออก-นำเข้าที่เกินดุลย์เกือบทุกเดือน

เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง

ดุลย์บัญชีเดินสะพัดต่อ GDP ที่เป็นบวก

แม้กรุงเทพฯรถจะโคตรติด 1 กม. ใช้เวลาขับ 1 ชม. รถไฟฟ้าตอนเย็นคนยังกะหนอนเบียดกันเข้าไป วันหยุดคนแห่กันไปเที่ยวรถติดยาวเป็นจังหวัด เสาร์ อาทิตย์ แห่กันไปห้างที่ๆจอดไม่ค่อยจะมี

.... แต่เชื่อเถอะครับ

ปัญหาแค่นี้เล็กน้อยกว่าการที่จะต้องไปเดินตามถังขยะหาของกิน หรือมีสงครามกลางเมืองมากมาย.......!

มนตรี มหาพฤกษ์พงศ์
เมื่อฟองสบู่โลกแตก ประเทศไทยจะเจ็บตัวน้อยมาก เมื่อฟองสบู่โลกแตก ประเทศไทยจะเจ็บตัวน้อยมาก Reviewed by admin on 3:08 AM Rating: 5

No comments