พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับการต่างประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2



คณะราษฎรเอารถถังสองคันไปจับเด็กนักเรียนเป็นตัวประกัน ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จในปี 2475 ปีต่อมาก็ปฏิวัติกันเอง

หลังจากนั้นการเมืองไทยก็วุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด ทะเลาะกันเอง ไม่มีแผนเศรษฐกิจ ที่มีก็จะให้ไทยเป็นคอมมิวนิสต์ให้ได้ ปิดการศึกษามัธยมปลายของโรงเรียนต่างๆทั้งรัฐบาลและเอกชน หาว่าเจ้าสร้างขื้น

25 ปีที่ประเทศไทยถูกปกครองโดยคณะราษฎร มีรัฐธรรมนูญ 7 ฉบับ แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน แย่งชิงอำนาจ แบ่งปันอำนาจระหว่างผู้นำ ไม่มีความเจริญก้าวหน้าอันใดทางเศรษฐกิจ ไม่มีแผนเศรษฐกิจ ไม่มีการลงทุนที่สำคัญ มีเพียงคำพูดปลุกระดม สร้างศัตรูภายนอกเพื่อรักษาความมั่นคงภายใน

ผ่านไป 9 ปีก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2484 ไทยประกาศเข้าข้างญี่ปุ่น คิดว่าญี่ปุ่น เยอรมันจะชนะสงคราม ถือว่าล้มเหลวในการอ่านเกมสงคราม เพราะไม่ได้คำนวณถึงขบวนการกู้เอกราชอินเดีย และอเมริกา

อินเดียส่งทหารออกมารบร่วมสองล้านคน ผลักดันญี่ปุ่นออกจากพม่าคืนสู่ประเทศไทย และยอมแพ้ในที่สุด อินเดียส่งทหารไปรบในอาฟริกา ตะวันออกกลาง เอเซีย และยุโรป ทหารกูรข่าด้วย

พศ 2485 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่กรุงเทพ และทั่วภาคกลาง เนื่องจากไม่มีเขื่อน ฝาย จึงเกิดการขาดแคลนอาหาร ของใช้ เดือดร้อนกันทั้งประเทศ

รัฐบาลต้องแบ่งปันข้าว ให้ทหารแจกแบบปันส่วน เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ในช่วงสงครามคนอดอยากกันมาก ใช้ขี้เถ้าทำผงซักฟอก ของใช้ขาดแคลนเอาเข้ามาไม่ได้ สบู่ ยาสีฟันไม่มี

เรียกว่าข้าวยาก หมากแพง ยาวนาน

ผลของสงครามทำให้ไม่มีเวลาพัฒนาอะไร โรงเรียนปิด ให้เลื่อนชั้นโดยไม่สอบ 4 ปี

ในปี 2487-88 กรุงเทพถูกทิ้งระเบิดโดยเครื่องบินราว 2500 ลำ

สะพานพุทธ สะพานเดียวที่เชื่อมกรุงเทพกับธนบุรีพัง ซ่อมเปิดใช้การได้ในปี 2493

สถานีรถไฟพังหมด ตั้งแต่หัวลำโพง ธนบุรี - โกโบริตายที่นี่ บางซื่อ ทุกแห่ง รวมถึงทางรถไฟไปพม่า

โรงไฟฟ้าวัดเลียบถูกระเบิด ไม่มีไฟฟ้าใช้กันซิครับ

เรียกว่าระบบสาธาณูปโภค การขนส่งพังหมด

เรือจมไปร่วม 100 ลำ เครื่องบินของไทยปลอดภัย เพราะข้าศึกมองไม่เห็น

โดนทิ้งระเบิดข้างเดียวเพราะ ปตอ ไทยยิงไม่ถึง

บั้งไฟแสนก็ไปไม่ถึงเหมือนกัน

สงครามจบลงในปี 2488 ไทยยอมแพ้ ต้องทำสัญญากับออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส จ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม

หลังจากนั้นก็เป็นเวลาซ่อมเศรษฐกิจ และจ่ายหนี้มหาศาล ของคณะราษฎรและคนไทย

หนี้สงครามเยอะมาก ต้องจ่ายข้าวให้อังกฤษ 3 ล้านตัน ข้าวเป็นสินค้าส่งออกหลัก เมื่อใช้หนี้และขายในราคาต่ำ ชาวนาก็ไม่มีรายได้ รัฐไม่มีเงิน จึงเรียกเก็บภาษีส่งข้าวออกจากชาวนา คนไทย 90% เป็นชาวนาจึงจนมากตั้งแต่คณะราษฎรเก็บภาษีข้าว

มีทำสัญญากับอังกฤษ ฝรั่งเศส และออสเตรเลียในฐานะผู้แพ้สงคราม ต้องทำสัญญาห้ามขุดคอคอดกระกับอังกฤษด้วย

ค่าเงินก็อ่อน ไม่มีรายได้ ญี่ปุ่นมาพิมพ์เงินฟรีไปมาก สมัย ร.4 หนึ่งบาทเท่ากับหนึ่งปอนด์เชียวนะครับ อำนาจการซื้อ อำนาจการนำเข้าจึงต่ำลงมาก จากหนึ่งบาทเท่ากับหนึ่งปอนด์สมัย ร.4 และ 11 บาทต่อปอนด์ก่อนสงคราม เงินบาทลดฮวบลงมาเหลือ 1 ปอนด์เท่ากับ 80 บาท ลดลงกี่เท่า

เอาว่าก่อนปี 2500 ประเทศไทยจนมาก แร้นแค้น ไม่มีถนน ไฟฟ้า น้ำประปา โรงพยาบาล หมอ พยาบาล โรงเรียน คือมีบ้าง เป็นบางที่ คนส่วนใหญ่อาศัยกระต็อบหลังคามุงจาก

มีปัญหาว่าข้าวจะไม่พอกิน ไก่ หมูเป็นของหายาก ใช้หนี้กันยาวนาน

ได้กินหมู เห็ด เป็ด ไก่ ถือว่ามีวาสนา

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ขื้นครองราชย์ในปี 2489 ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก

อันตรายจากคนในรัฐบาล บ้างก็แนวฮิตเลอร์ บ้างก็แนวบอลเชวิก

ทรัพย์สิน เช่น ที่ดินของพระมหากษัตริย์แถวรอบวังสวนจิตร สามเสน ศาลาแดง สีลม ถูกเอาไปขายแบ่งกัน เป็นประเด็นอภิปรายในสภาอย่างรุนแรง

สถิติปี 2503 ที่ฝรั่งมาสำรวจให้ UN Escap ไทยมีรายได้ต่อหัวต่ำสุดในเอเซีย ต่ำกว่ามาเลย์ 4 เท่า ต่ำกว่าเวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า อินเดีย ฟิลิปปินส์ แค่ 2000 บาทต่อคนต่อปี

ต่ำกว่าญี่ปุ่น 8 เท่า ญี่ปุ่นสร้างเครื่องบิน เรือรบ เหล็ก เป็นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 แล้ว คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีเสื้อผ้าพอ หุ้มห่อร่างกาย

เมื่อลมฝนบนฟ้ามาแล้ว

รัชกาลที่ 9 ในหลวงของเรา ทรงพลิกฟื้นสถานะไทยกับต่างประเทศ

ปี 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ปฏิวัติขับไล่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม คณะราษฎรที่เป็นนายกคนสุดท้ายออกไป

รักษาความสงบเรียบร้อย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มีโอกาสปฏิบัติพระราชภารกิจนำประเทศ

สถานการณ์ยุคนั้นคือ
ไทยต้องการมิตรประเทศเพื่อมาป้องกันอันตรายจากภัยคุกคามรอบบ้าน

ไทยต้องการเงินเพื่อมาลงทุนสร้างถนน น้ำ ไฟฟ้า เขื่อนกันน้ำท่วม การศึกษา โรงพยาบาล

ไทยต้องการให้มีการลงทุนสร้างอุตสาหกรรม และบริการ ขยายการเกษตร สร้างงานให้คน

ไทยต้องการการยอมรับนับถือจากต่างชาติ ให้คนลืมสงครามโลกครั้งที่สอง

ไทยต้องการพัฒนาให้เท่าเทียมประเทศเพื่อนบ้าน

ในหลวงเสด็จประพาสประเทศในประเทศตะวันตก 14 ประเทศ หกเดือนเต็ม พร้อมพระราชินี มี มรว คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นแม่กองจัดการ ท่านผู้นี้เป็นแม่กองจัดการเสด็จต่างจังหวัดด้วย

โชคดีของคนไทย ต่างประเทศและคนไทยทุกจังหวัดถวายการต้อนรับยิ่งใหญ่ พระองค์ท่านได้รับการเทิดทูนในฐานะพระประมุข ผู้นำประเทศ

พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ตรัสได้หลายภาษา อย่างดีมาก ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เข้าใจขนบ วัฒนธรรม และทรง witty แบบฝรั่ง ทั้งความสง่างาม ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แพ้ใครในโลก

ทรงน่าเกรงขาม แต่นุ่มนวล และเป็นมิตร ไม่มีคนไทยคนไหนทำได้ขนาดนั้น

การที่ทรงศึกษาที่สวิสนั้น คนยุโรปและอเมริกาถือว่าสุดยอดแห่งอารยธรรม เป็นสังคมที่สร้างคนที่เข้าใจอารยธรรมหลากหลาย

ทั้งสองพระองค์มีพระบุคลิกภาพที่เป็นที่ชื่นชมของคนในทุกประเทศ สมเด็จพระนางเจ้านั้น ได้ชื่อว่าเป็นพระราชินีที่สวยที่สุดในโลก รูปถ่ายลงปกหนังสือพิมพ์ ออกทีวีกันมากมาย ตอนนั้นผมเป็นเด็ก ภูมิใจมาก

ทั้งสองพระองค์นั้นทรงเป็นนักการต่างประเทศ และนักการทูตที่ยอดเยี่ยมมากที่สุด ประสบการณ์นะครับ

ทรงมีพระ nobility มาก การเสด็จเยือนจึงได้ความเคารพนับถือจากประมุขประเทศ หัวหน้ารัฐบาล รัฐบาล ต่างประเทศ

และที่สำคัญประชาชนของประเทศนั้นๆ ออกมารอรับกันเนืองแน่น ต้อนรับใหญ่โตมากๆ ข่าวกระจายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง

ในยุคนั้นสถาบันกษัตริย์ในยุโรปสูงส่งมาก นี่เป็นคุณต่อประเทศไทยที่มีสถาบันกษัตริย์

จากการเสด็จเยือนของทั้งสองพระองค์ ต่อมาประมุข และหัวหน้ารัฐบาลเหล่านั้นก็มาเยือนประเทศไทยอีกมากมาย หลายๆสิบประเทศ ชื่อประเทศไทยปักสง่างามบนแผนที่โลก

ต่อมา ทรงเสด็จเยือนประเทศในเอเซีย เมื่อทรงได้รับมาตรฐานระดับสูงลิ่วนั่น แถวเอเซียก็ต้อนรับยิ่งใหญ่มาก เชิงแข่งนิดๆ

คนไทยภูมิใจกันสุดๆ นี่คือการทูตที่ดีที่สุดของไทย

ยุคโลกสองขั้ว พระองค์ท่านช่วยให้ประเทศไทยยืนถูกข้าง ไม่ล้ม

สมัยพวกผมเรียนมหาวิทยาลัย ประธานาธิบดี กษัตริย์ หัวหน้ารัฐบาลต่างๆจะมา เมืองไทยกันถี่ยิบ สมเด็จพระนางเจ้าจะทรงตรัสในหอประชุมว่าว่า ข้าพเจ้าจะมีแขกมาเยือน ช่วยกันหน่อยนะ

พวกผมก็ได้ทำประโยชน์เช่นไปยืนเข้าแถวรับบ้าง แปรอักษรบ้าง นั่งปรบมือในหอประชุมบ้าง ใครมากล่าวหาพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านแบบไม่รู้เรื่อง คนไทยโกรธ เพราะพวกเราถือว่าเป็นงานของเราคนไทยทั้งชาติ ที่ช่วยกันทำ

ประเทศไทยได้อะไร
ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เรื่องไทยเป็นประเทศแพ้สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี่ หายไป

มีเงินช่วยเหลือหลั่งไหลเข้ามา พร้อมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เขื่อนเจ้าพระยายุคนั้น 3500 ล้านเอง ทุนเรียนนอกเยอะมาก

ตลาดสินค้าเปิด มีการลงทุนเข้ามามาก ตั้งแต่นั้น

การท่องเที่ยวก็เริ่มจากราว 1 ล้านคนมาจนปัจจุบัน

เป็นยุคของการฟื้นฟูอารยธรรม วัฒนธรรม อวดแขกเมือง แพร่ไปทั่วโลก

เป็นยุคที่ประมุขต่างประเทศเสด็จเยือนต่างจังหวัด เช่นเชียงใหม่ จนกลายเป็นเมืองระดับโลก

เป็นจุดเริ่มต้นของการมาทำข่าวประเทศไทยไปทั่วโลกครับ

เดิมที UN คาดว่าไทยจะพัฒนาได้ล่าช้าที่สุดในเอเซีย เพราะฐานต่ำ ต้องตกใจ เพราะแซงหน้าประเทศอื่นไปมาก

คนรุ่นผมเรียนรู้จากการช่วยงานพระองค์ท่านกันทั้งประเทศ

เราจึงภูมิใจมาก ที่พระประมุขของเราทรงฉลาด เยี่ยมยอด เปี่ยมความสามารถ

วันนี้ สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเป็นพระราชินีผู้ครองราชย์ยาวนานที่สุดของโลกนะครับ

ความลับ
ที่ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดี เกิดอาเซียน 10 มั่นคงมานาน เพราะในหลวงครับ

จีนบอกว่าทรงเป็นผู้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองแผ่นดิน

พระจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้น ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ไทยมาก การลงทุนญี่ปุ่นจึงมากันเพียบ

ประธานบริษัทใหญ่ๆของญี่ปุ่นตัดสินใจลงทุนทันทีที่ได้เข้าเฝ้า

ทรงปิดทองหลังพระให้คนไทยมากมายจริงๆ

ผู้ที่กระทำการชั่วร้ายให้สถาบันเสียหายคือ การทำลายชาติครับ

เห็นทำกันมาหลายปี

กราบขอพระอภัยโทษพระองค์ท่านน่ะ ถูก แต่ความเสียหายต่อประเทศและประชาชน เอาคืนมาไม่ได้แล้ว

ที่น่าประหลาด คือ ทั้งสองพระองค์ไม่เคยพูดว่าทรงทำอะไรให้ประเทศมากมายมหาศาลขนาดไหน

ทรงปิดทองหลังพระ

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับการต่างประเทศ บุญวาสนาของคนไทยและประเทศไทย ในสถานการณ์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อนักข่าวต่างชาติถามในหลวงว่า ทำไมจึงไม่ค่อยยิ้ม

ทรงชี้ไปที่สมเด็จพระนางเจ้า แล้วบอกว่า That is my Smile

25 ปีของคณะราษฎรเป็นยุคซวยของประเทศ

ประเทศไทยกระโดดขื้น นับตั้งแต่ในหลวงเสด็จเยือนต่างจังหวัด และต่างประเทศ ในปี 2502

ได้เศรษฐกิจแบบวางแผน ไม่เพ้อเจ้อตั้งแต่ปี 2503 เป็นต้นมา

แล้วพระองค์ท่านก็ทรงงานหนักในที่ทุรกันดารของประเทศ

ทุน เทคโนโลยี การศึกษา ตลาดสินค้า สติปัญญา มิตรไมตรี ความเคารพนับถือประเทศไทยและคนไทย เกิดขึ้นและหลั่งไหลเข้ามาในรัชกาลที่ 9

สมเกียรติ โอสถสภา
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับการต่างประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับการต่างประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Reviewed by admin on 11:33 PM Rating: 5

No comments