ทฤษฎีเข็มฉีดยาทางการสื่อสาร เลือกใช้สื่อบางชนิดใส่ความเกลียดชังลงไป
การเมืองเป็นเรื่องท้องถนน อันนี้ไม่แปลก เพราะมีคนจะทำแน่...และเร็วๆนี้ด้วย
ลงถนนแล้วต้องรีบตีฟูให้ม็อบโตอย่างรวดเร็ว อันนี้ค่อนข้างชัดเจน จนดูออกได้ง่ายๆ ด้วยการยั่วยุ ในสิ่งที่ คนทั่วไปรู้สึกว่าคุกคามจิตใจ
เช่น การด่าทอผู้นำทางสังคม หมิ่นประมาทผู้นำประเทศ อะไรเทือกนั้น ปฎิกริยาเหล่านี้เป็นกระบวนการเร่งความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพื่อใช้ตีฟูมวลชนให้ ขยายตัวหากเกิดความรุนแรง
ซึ่งหากสังคมรู้ทัน ข้าพเจ้าสันนิฐานว่า หลังจากนี้สิ่งที่จะเสี่ยงคือ
"มือที่สาม"ของการเคลื่อนไหว ในการทำร้าย ผู้ชุมนุม หลักนี้ผู้ชุมนุมจะเป็นเหยื่อ และนำเข้าสู่ความรุนแรงในที่สุด เพื่อใช้ต่อรองกับรัฐบาลนั้นเอง...
"มือที่สาม"ของการเคลื่อนไหว ในการทำร้าย ผู้ชุมนุม หลักนี้ผู้ชุมนุมจะเป็นเหยื่อ และนำเข้าสู่ความรุนแรงในที่สุด เพื่อใช้ต่อรองกับรัฐบาลนั้นเอง...
จุดนี้เราถึงควรจะห่วงสวัสดิภาพของเด็กๆที่มาชุมนุมครั้งนี้ ..แม้ว่าเด็กพวกนี้จะคิดอะไรไม่ได้ก็ตาม
ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องทางทฤษฎีนะ
การเมืองเวลานี้ไม่ได้มีแค่สองฝ่ายนะ มีเป็น 4-5 ฝ่ายที่มีซับเซ็ดกันอยู่ไม่ชัดเจน ...แต่ที่เห็นๆ ง่ายๆก็ แดงกับส้มก็ค่อนข้างชัดเจนถึงความแตกแยก แต่ก็ยังสงวนท่าทีบางเรื่องเพื่อโจมตีฝ่ายรัฐ แต่ก็พร้อมแทงหลังกันเหมือนที่ ปวิน แทงหลัง อนาคตใหม่ เรื่องที่กุข่าว ว่าธนาธร นัดพบ บิ้กแดง ดีลเรื่องยุบพรรค ซึ่งกลายเป็นข่าวตลกไปเลยในวันต่อมา
ดังนั้นมือที่สาม มีได้ตลอด....
ที่รัฐบาล พปชร. พลาดมาตลอดคือการไม่เข้าใจ ทฤษฎี เข็มฉีดยาทางการสื่อสาร ที่เขาเลือกใช้สื่อบางชนิดใส่ความเกลียดชังลงไปโดยที่ผู้ใหญ่ไม่รู้
สร้าง "การไม่ลงรอยกันของการรู้คิด (Cognitive dissonance)"
ผ่านทางข่าวสารปลอม การสอนสั่งจากอาจารย์ผู้สอนที่มีอคติหรือนัยยะแฝง หรือประสบการณ์ปลอมๆ ที่ผลิตด้วย บอท หรือ ไอดีผีในสังคมโซเชียลมีเดียนั้นแล...
เช่นการ seeding หรือการหางานเมล็ดความเกลียดชังอันเป็นเท็จใส่ลงไปในสังคมให้เกิดการ บอกต่อนั้นเอง
ซึ่งข่าวสารคลุมเครือดังกล่าวจะไปกระตุ้นเป็นความรู้สึกที่ เราไม่พึงพอใจ กระตุ้นให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรม
ทฤษฎีดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกโดย ลีออง เฟสติงเกอร์ (Leon Festinger) นักจิตวิยาสังคม
การไม่ลงรอยกันของการรู้คิดถูกเรียกว่า “เพื่อนที่ดีที่สุดของผู้ควบคุมจิตใจ” (mind controller’s best friend) (Levine 2003: 202)
หากมีการกระทบกระทั้ง ถูกจับกุมทำร้าย สิ่งที่พวกเขาเชื่อจากการถูกบอกเล่ามาแต่แรกก็จะกลายเป็นความจริง ในความคิดของเขา
ตัวอย่าง"ความเข้าใจที่เป็นเท็จ"ที่สอดคล้องกับทฤษฎีที่เล่ามา ก็ อย่างเช่น เข้าใจผิดว่ากษัตริยไทยอยู่ที่เยอรมนีตลอดเวลาๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียงสองวันยังมีข่าวพระราชกรณียกิจเสด็จเยือน สามจังหวัดชายแดนใต้ ...
ทำไม เยาวชน ถึงไม่รู้ว่า ในหลวงเสด็จในประเทศไทย ทั้งๆที่มีข่าวพระราชสำนัก? ก็เพราะสื่อดังกล่าวไปไม่ถึงเยาวชน ... เยาวชน รวมไปถึงประชาชนวัยทำงานไม่สนใจ กลายเป็นไม่เห็นคุณค่า ...
แต่เยาวชนเห็นการนินทาในทวิตเตอร์ ว่าในหลวงอยู่ เยอรมนีบ่อยๆก็เลย เป็นอุปทานหมู่กันไป ว่า ในหลวงอยู่ในต่างประเทศตลอดเวลา...
นี่แหล่ะคือ ช่องว่างของความจริงตามทฤษฎี"การไม่ลงรอยกันของการรู้คิด (Cognitive dissonance)"
แล้วปัญหาเหล่านี้กลายเป็น อคติที่ซึมลึกลงไปในสังคมยาวนานและยากที่จะแก้ไข เพราะพวกเขาจะเชื่อแต่เพียงความจริงจากในประสบการณ์ที่เขาพบเท่านั้นเอง ซึ่งเขาจะไม่มีวันเข้าใจความจริงสมบูรณ์ ตามแนวคิด แบบ เครโต และโซเครติสนั้นแล ..
ดังนั้นแล้ว นอกเหนือจากภาครัฐที่ต้องเฝ้าดู แล้ว ข้าพเจ้าอยากให้พ่อแม่ ช่วยดูแลบุตรหลานของท่านอย่างจริงๆจังๆครับ ...ให้เขาได้ทราบข้อเท็จจริง ที่ เกิดขึ้น อย่างละมุนละม่อม . อย่าเติมเชื้อไฟ ให้พวกเกลียดชังบ้านเกิดหรือบรรพบุรุษของเขาเองโดยไม่จำเป็น ...
ทั้งนี้ก็อยากจะบอกว่า
ประเทศไทยเรานี้เสรีภาพและสงบสุขมากแล้วหากเทียบกับอีกหลายประเทศที่ มีอยู่เวลานี้ ...
ขอเพียงหนูมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง และ มีความรอบรู้ มีจิตปกป้องประเทศอย่าเห็นแก่ตัว บ้านเมืองก็เจริญได้ อย่าพึ่งแต่ นักการเมืองที่วันๆไม่ทำอะไรนอกจากยุให้คนตีกันเพื่อให้ตนเองเข้าสภา...เพราะสุดท้าย คนที่ต้องไล่ นายกคนต่อมาก็พวกหนูเองนั้นแล
ช่วงนี้ มีคนพยายามใช้ hongkong โมเดล ปลุกปั่นเด็กๆในรั้วมหาลัย ในการพยายามโจมตีไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ...
แต่พอมองดูสถานการณ์แล้ว ข้าพเจ้าว่าเราผู้จงรักภักดีก็อย่าพึ่งไปยุ่งอะไรกับพวกนี้ดีกว่าครั้งนี้นิ่งๆไปก่อน
เศรษฐกิจไม่ค่อยดีช่วงนี้ ถ้าเดินถนน ชนกันไม่ว่าใครชนะ บ้านเมืองก็พังเสียหายมากกว่าเดิมไปอีก
เศรษฐกิจไม่ดีตอนนี้มันได้รับจาก ปัญหาเรื่อง โรคระบาดที่ประเทศจีนซึ่งกระทบกับเศรษฐกิจ ทั่วโลกเลยละครับ แล้วเราจะยังออกไปเพื่อให้ บ้านเมืองมันทรุดอีกรึ ...
หันหลับไปมองฮ่องกง ดินแดนทองของนักท่องเที่ยวเสียหายยับเยิน จากการประท้วงรุนแรง ตอนนี้กลายเป็นเมืองร้าง ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แล้วเราจะเอาแบบนั้นหรือ?
การชุมนุมของเด็กไทย ที่ทำลายแม้แต่ธุรกิจของพ่อแม่และบรรพบุรุษของตนเอง ...เราจะเอาแบบนั้นรึ?เรื่องนี้คิดว่า พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกๆดีกว่าครับ
การที่ลูกๆเขาคิดเกินเลยต่อสถาบันกษัตริย์ หรือต่อต้านสังคมอย่างรุนแรง เราต้องอย่าไปดุด่าว่าร้ายเขาเกินไป แต่ควรจะอธิบายถึงความจริงอย่างรอมชอมเพื่อเข้าถึงข้อเท็จจริงครับ เขาอาจจะเกเรไปบ้างแต่เวลาจะสอนเขาเองครับ
อีกทั้งจริงๆแล้ว ออกมาก็ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะ นอกจากมาเสี่ยงบนท้องถนนแล้วยังมีเรื่องของโรคภัยที่กำลังละบาดทั่วโลกอย่างเชื้อ COVID-19 ซึ่งหากป่วยแล้วก็รักษายากและมีโอกาสเสียชีวิต เรื่องเราอาจจะต้องรอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปเสียก่อนครับ
รักกันไว้เถิดครับ...เราต้องผ่านวิกฤติเศรษฐกิจโลกนี้ไปด้วยกันครับ
ขอให้ประเทศไทยปลอดภัย
ปราชญ์ สามสี
ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องทางทฤษฎีนะ
การเมืองเวลานี้ไม่ได้มีแค่สองฝ่ายนะ มีเป็น 4-5 ฝ่ายที่มีซับเซ็ดกันอยู่ไม่ชัดเจน ...แต่ที่เห็นๆ ง่ายๆก็ แดงกับส้มก็ค่อนข้างชัดเจนถึงความแตกแยก แต่ก็ยังสงวนท่าทีบางเรื่องเพื่อโจมตีฝ่ายรัฐ แต่ก็พร้อมแทงหลังกันเหมือนที่ ปวิน แทงหลัง อนาคตใหม่ เรื่องที่กุข่าว ว่าธนาธร นัดพบ บิ้กแดง ดีลเรื่องยุบพรรค ซึ่งกลายเป็นข่าวตลกไปเลยในวันต่อมา
ดังนั้นมือที่สาม มีได้ตลอด....
ที่รัฐบาล พปชร. พลาดมาตลอดคือการไม่เข้าใจ ทฤษฎี เข็มฉีดยาทางการสื่อสาร ที่เขาเลือกใช้สื่อบางชนิดใส่ความเกลียดชังลงไปโดยที่ผู้ใหญ่ไม่รู้
สร้าง "การไม่ลงรอยกันของการรู้คิด (Cognitive dissonance)"
ผ่านทางข่าวสารปลอม การสอนสั่งจากอาจารย์ผู้สอนที่มีอคติหรือนัยยะแฝง หรือประสบการณ์ปลอมๆ ที่ผลิตด้วย บอท หรือ ไอดีผีในสังคมโซเชียลมีเดียนั้นแล...
เช่นการ seeding หรือการหางานเมล็ดความเกลียดชังอันเป็นเท็จใส่ลงไปในสังคมให้เกิดการ บอกต่อนั้นเอง
ซึ่งข่าวสารคลุมเครือดังกล่าวจะไปกระตุ้นเป็นความรู้สึกที่ เราไม่พึงพอใจ กระตุ้นให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรม
ทฤษฎีดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกโดย ลีออง เฟสติงเกอร์ (Leon Festinger) นักจิตวิยาสังคม
การไม่ลงรอยกันของการรู้คิดถูกเรียกว่า “เพื่อนที่ดีที่สุดของผู้ควบคุมจิตใจ” (mind controller’s best friend) (Levine 2003: 202)
หากมีการกระทบกระทั้ง ถูกจับกุมทำร้าย สิ่งที่พวกเขาเชื่อจากการถูกบอกเล่ามาแต่แรกก็จะกลายเป็นความจริง ในความคิดของเขา
ตัวอย่าง"ความเข้าใจที่เป็นเท็จ"ที่สอดคล้องกับทฤษฎีที่เล่ามา ก็ อย่างเช่น เข้าใจผิดว่ากษัตริยไทยอยู่ที่เยอรมนีตลอดเวลาๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียงสองวันยังมีข่าวพระราชกรณียกิจเสด็จเยือน สามจังหวัดชายแดนใต้ ...
ทำไม เยาวชน ถึงไม่รู้ว่า ในหลวงเสด็จในประเทศไทย ทั้งๆที่มีข่าวพระราชสำนัก? ก็เพราะสื่อดังกล่าวไปไม่ถึงเยาวชน ... เยาวชน รวมไปถึงประชาชนวัยทำงานไม่สนใจ กลายเป็นไม่เห็นคุณค่า ...
แต่เยาวชนเห็นการนินทาในทวิตเตอร์ ว่าในหลวงอยู่ เยอรมนีบ่อยๆก็เลย เป็นอุปทานหมู่กันไป ว่า ในหลวงอยู่ในต่างประเทศตลอดเวลา...
นี่แหล่ะคือ ช่องว่างของความจริงตามทฤษฎี"การไม่ลงรอยกันของการรู้คิด (Cognitive dissonance)"
แล้วปัญหาเหล่านี้กลายเป็น อคติที่ซึมลึกลงไปในสังคมยาวนานและยากที่จะแก้ไข เพราะพวกเขาจะเชื่อแต่เพียงความจริงจากในประสบการณ์ที่เขาพบเท่านั้นเอง ซึ่งเขาจะไม่มีวันเข้าใจความจริงสมบูรณ์ ตามแนวคิด แบบ เครโต และโซเครติสนั้นแล ..
ดังนั้นแล้ว นอกเหนือจากภาครัฐที่ต้องเฝ้าดู แล้ว ข้าพเจ้าอยากให้พ่อแม่ ช่วยดูแลบุตรหลานของท่านอย่างจริงๆจังๆครับ ...ให้เขาได้ทราบข้อเท็จจริง ที่ เกิดขึ้น อย่างละมุนละม่อม . อย่าเติมเชื้อไฟ ให้พวกเกลียดชังบ้านเกิดหรือบรรพบุรุษของเขาเองโดยไม่จำเป็น ...
ทั้งนี้ก็อยากจะบอกว่า
ประเทศไทยเรานี้เสรีภาพและสงบสุขมากแล้วหากเทียบกับอีกหลายประเทศที่ มีอยู่เวลานี้ ...
ขอเพียงหนูมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง และ มีความรอบรู้ มีจิตปกป้องประเทศอย่าเห็นแก่ตัว บ้านเมืองก็เจริญได้ อย่าพึ่งแต่ นักการเมืองที่วันๆไม่ทำอะไรนอกจากยุให้คนตีกันเพื่อให้ตนเองเข้าสภา...เพราะสุดท้าย คนที่ต้องไล่ นายกคนต่อมาก็พวกหนูเองนั้นแล
##################
ช่วงนี้ มีคนพยายามใช้ hongkong โมเดล ปลุกปั่นเด็กๆในรั้วมหาลัย ในการพยายามโจมตีไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ...
แต่พอมองดูสถานการณ์แล้ว ข้าพเจ้าว่าเราผู้จงรักภักดีก็อย่าพึ่งไปยุ่งอะไรกับพวกนี้ดีกว่าครั้งนี้นิ่งๆไปก่อน
เศรษฐกิจไม่ค่อยดีช่วงนี้ ถ้าเดินถนน ชนกันไม่ว่าใครชนะ บ้านเมืองก็พังเสียหายมากกว่าเดิมไปอีก
เศรษฐกิจไม่ดีตอนนี้มันได้รับจาก ปัญหาเรื่อง โรคระบาดที่ประเทศจีนซึ่งกระทบกับเศรษฐกิจ ทั่วโลกเลยละครับ แล้วเราจะยังออกไปเพื่อให้ บ้านเมืองมันทรุดอีกรึ ...
หันหลับไปมองฮ่องกง ดินแดนทองของนักท่องเที่ยวเสียหายยับเยิน จากการประท้วงรุนแรง ตอนนี้กลายเป็นเมืองร้าง ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง แล้วเราจะเอาแบบนั้นหรือ?
การชุมนุมของเด็กไทย ที่ทำลายแม้แต่ธุรกิจของพ่อแม่และบรรพบุรุษของตนเอง ...เราจะเอาแบบนั้นรึ?เรื่องนี้คิดว่า พ่อแม่ควรพูดคุยกับลูกๆดีกว่าครับ
การที่ลูกๆเขาคิดเกินเลยต่อสถาบันกษัตริย์ หรือต่อต้านสังคมอย่างรุนแรง เราต้องอย่าไปดุด่าว่าร้ายเขาเกินไป แต่ควรจะอธิบายถึงความจริงอย่างรอมชอมเพื่อเข้าถึงข้อเท็จจริงครับ เขาอาจจะเกเรไปบ้างแต่เวลาจะสอนเขาเองครับ
อีกทั้งจริงๆแล้ว ออกมาก็ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะ นอกจากมาเสี่ยงบนท้องถนนแล้วยังมีเรื่องของโรคภัยที่กำลังละบาดทั่วโลกอย่างเชื้อ COVID-19 ซึ่งหากป่วยแล้วก็รักษายากและมีโอกาสเสียชีวิต เรื่องเราอาจจะต้องรอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปเสียก่อนครับ
รักกันไว้เถิดครับ...เราต้องผ่านวิกฤติเศรษฐกิจโลกนี้ไปด้วยกันครับ
ขอให้ประเทศไทยปลอดภัย
ทฤษฎีเข็มฉีดยาทางการสื่อสาร เลือกใช้สื่อบางชนิดใส่ความเกลียดชังลงไป
Reviewed by admin
on
4:43 AM
Rating:
No comments