ปีหน้าตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร


ปีนี้จัดว่าเป็นปีที่ดีสำหรับนักลงทุนไทย เพราะถึงแม้บรรยากาศโดยรวมและสภาพเศรษฐกิจของประเทศยังไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไร

แต่ SET Index กลับเพิ่มขึ้นถึง 18% ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมากเป็นอันดับหนึ่งของเอเชีย และอันดับสามของโลก (ไม่รวมตลาดหุ้นขนาดเล็กใน Frontier Markets) ถ้าวัดจากจุดต่ำสุดของปี ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นไปแล้ว 25%

สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นมากในปีนี้ มาจากสองปัจจัยหลัก คือ

หนึ่ง สภาพคล่องในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุลทุกเดือนตลอด 24 เดือนที่ผ่านมา (เฉพาะใน 10 เดือนแรกของปีนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูงถึง 10% ของ GDP) ในขณะที่สินเชื่อธนาคารขยายตัวได้ไม่ถึง 4% ทำให้เกิดสภาพคล่องส่วนเกินในระบบเป็นจำนวนมาก ตลาดหุ้นจึงได้อานิสงส์จากเม็ดเงินส่วนเกินเหล่านี้

และ สอง เศรษฐกิจไทยที่เริ่มกลับสู่ขาขึ้น ซึ่งแม้จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ก็ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น

แรงซื้อจากต่างชาติในช่วงไตรมาส 2-3 ที่มากกว่า 110,000 ล้านบาท เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นไทยปรับสูงขึ้น

ถึงแม้ต่างชาติจะเริ่มขายหุ้นออกมาบ้างแล้ว หลังจากดอกเบี้ยพันธบัตรทั่วโลกปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับกับนโยบายเศรษฐกิจของ Donald Trump แต่แรงขายของต่างชาติรอบนี้สร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นไทยเพียงเล็กน้อย เพราะสภาพคล่องส่วนเกินในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรของไทยปรับขึ้นไม่มาก

แต่ปี 2560 จะเป็นปีที่ท้าทายสำหรับตลาดหุ้นไทย ด้วยเหตุผลสามข้อคือ

หนึ่ง จากสถิติที่ผ่านมา ตลาดหุ้นที่ Outperform ในปีปัจจุบัน มักจะกลายเป็น Underperformer ในปีถัดไป เพราะนักลงทุนชอบลงทุนในหุ้นที่ราคายังไม่ขึ้น ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นจีน และอิตาลี เป็น Top Performers ในปี 2015 แต่กลายเป็น Worst Performers ในปีนี้ ในขณะที่ Worst Performers ของปีที่แล้วอย่างรัสเซีย และบราซิล กลายเป็น Top Performers ในปีนี้

อีกเหตุผลที่จะสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นไทย คือความคาดหวังที่สูงของนักลงทุน การที่ SET Index ปรับขึ้น 18% ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับขึ้นโดยเฉลี่ย 8% บวกกับค่า Forward P/E ของไทย ที่ 14 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ Asia Pacific ที่ 11 เท่า แสดงว่านักลงทุนคาดหวังว่าจะได้เห็นพัฒนาการเชิงบวกในไทยมากกว่าที่อื่นๆ เช่น GDP Growth ขยายตัวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ หรือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาดีกว่าคาด เป็นต้น

และที่สำคัญ นักลงทุนต้องการจะเห็นความคืบหน้าของนโยบายใหญ่ๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่ค่อนข้างล่าช้ากว่าแผนมาก รวมไปถึงการลงทุนของภาคเอกชน ที่เปรียบเสมือน Proxy ของความมั่นใจที่ภาคธุรกิจมีให้กับรัฐบาล

ถ้าในปีหน้านโยบายเหล่านี้ยังคงเดินหน้าแบบช้าๆ และการลงทุนภาคเอกชนยังคงซบเซา โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะ Underperform ตลาดหุ้นโลกจะมีสูงมาก

แต่ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลสามารถดำเนินตามแผนการปรับโครงสร้างการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับขึ้นไปได้อีกมาก

เหตุผลสุดท้ายที่จะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นในปีหน้าไม่ง่ายเท่าปีนี้ คือ

อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทั่วโลกที่กลับสู่ขาขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับระดับของดอกเบี้ยด้วยว่าจะไปแตะจุดสูงสุดที่เท่าไร ถ้าเงินเฟ้อไม่เพิ่มสูงขึ้นมาก (ซึ่งน่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และราคาน้ำมันไม่น่าขึ้นได้อีกเท่าไร) และดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ไม่สูงเกิน 3-3.5% แนวโน้มตลาดหุ้นทั่วโลกก็น่าจะยังดีอยู่ และ 2560 น่าจะยังเป็นอีกปีที่ตลาดหุ้น Outperform ตลาดตราสารหนี้

สำหรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นในปีหน้ายังคงมีหลายปัจจัย ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือ

การดำเนินนโยบายของ Donald Trump ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน

Fed จะขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้ง

การเลือกตั้งในหลายประเทศในยุโรปจะส่งผลอย่างไรต่อเสถียรภาพของ EU

และผลการเลือกตั้งของไทยจะทำให้เรากลับสู่วังวนเดิมหรือไม่

ไพบูลย์ นลินทรางกูร
ปีหน้าตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร ปีหน้าตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร Reviewed by admin on 10:08 PM Rating: 5

No comments