ปูตินและทรัมป์พร้อมใจกันประกาศเพิ่มแสนยานุภาพนิวเคลียร์



  • ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียประกาศจะเพิ่มแสนยานุภาพนิวเคลียร์ของรัสเซีย เพื่อให้กองทัพของรัสเซียมีกำลังมากขึ้นไว้คานอำนาจกับนาโต
  • หลังจากนั้นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า จะเพิ่มแสนยานุภาพนิวเคลียร์ จนหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ทรัมป์ต้องการเพิ่มอาวุธนิวเคลียร์หลังปูตินประกาศหรือไม่
  • ทีมงานของทรัมป์ออกมาพูดภายหลังว่า ทรัมป์ต้องการเพียงแค่ป้องกันการขยายอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้น
  • อย่างไรก็ตาม ท่าทีของทั้งสองประเทศสร้างความกังวลว่า มหาอำนาจอาจเข้าสู่การแข่งขันทางอาวุธอีกครั้ง

“สหรัฐอเมริกาต้องเพิ่มและขยายแสนยานุภาพอาวุธนิวเคลียร์ จนกว่ากฎของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของโลกจะมีขึ้นและถูกใช้อย่างเข้มงวด”

​ นี่คือข้อความที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ทวิตบททวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2016 นับเป็นข้อความที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนไหนประกาศมาเป็นเวลาหลายสิบปี

​ ข้อความของทรัมป์ทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้ให้ทั่วโลก โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม
​ ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เจสัน มิลเลอร์ (Jason Miller) ผู้จัดการด้านการสื่อสารของทรัมป์ออกมาอธิบายว่า “ข้อความของทรัมป์หมายถึงภัยคุกคามต่อสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และความจำเป็นต่อการห้ามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะในหมู่องค์กรการก่อการร้าย และรัฐที่มีกลุ่มหัวรุนแรง” นอกจากนี้มิลเลอร์ยังย้ำว่า ทรัมป์ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพัฒนาความสามารถที่จะขัดขวางการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เพราะมองว่าเป็นหนทางสำคัญที่จะนำโลกไปสู่สันติภาพ

​ คำกล่าวอ้างของมิลเลอร์อาจจะพอฟังขึ้นอยู่บ้าง หากข้อความของทรัมป์ไม่ได้ออกมา หลังจากที่รัสเซียประกาศจะเพิ่มแสนยานุภาพของอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน!



ทรัมป์ประกาศจะเพิ่มกำลังอาวุธนิวเคลียร์หลังปูตินทบทวนกำลังทางทหารของรัสเซีย
​ ทรัมป์ประกาศข้อความนี้ หลังจาก วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซียได้ประชุมกับกองทัพรัสเซีย เพื่อทบทวนกิจกรรมของกองทัพในตลอดปี 2016 ที่ผ่านมา และออกมาเปิดเผยว่า รัสเซียจำเป็นต้องเพิ่มความสามารถทางทหารด้วยการส่งเสริมอาวุธนิวเคลียร์

​ “เราจำเป็นต้องขยายกำลังและกลยุทธ์ของอาวุธนิวเคลียร์ โดยเฉพาะขีปนาวุธ ที่จะมีแสนยานุภาพมากกว่าระบบขีปนาวุธใดๆ ที่มีอยู่ เพราะเราต้องติดตามความสมดุลของอำนาจทางการเมืองและทหารของโลก โดยเฉพาะตามแนวชายแดนรัสเซีย

​ “เราสามารถประกาศด้วยความมั่นใจว่า เราแข็งแรงกว่าทุกๆ คน ไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการรุกราน” ปูตินย้ำท่ามกลางที่ประชุมกองทัพ “ไม่ว่าใครก็ตาม!”



สำนักข่าว RT ของรัสเซียรายงานว่า วันนี้ (23 ธันวาคม 2016) ปูตินได้เปิดช่วงถามตอบกับนักข่าวมากกว่า 1,400 คน เพื่อสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2016 และเมื่อนักข่าวถามถึงแสนยานุภาพของกองทัพรัสเซีย เขาตอบกับนักข่าวว่า เราปฏิเสธไม่ได้ว่ากองทัพสหรัฐฯ นั้นเป็นกองทัพที่มีกำลังมากที่สุดในโลก แต่งบประมาณของรัสเซียในปี 2017 จะทุ่มไปด้านทางทหารมากที่สุด

​ ท่าทีล่าสุดของปูตินนี้เกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในสงครามยูเครน สงครามซีเรีย ซึ่งที่ผ่านมาทั้งรัสเซียและประเทศสมาชิกนาโตได้ซ้อมปฏิบัติการทางทหารบริเวณชายแดนรัสเซีย จึงทำให้ปูตินออกมาบอกว่า การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์นั้นเพื่อตอบโต้กำลังทางทหารของนาโต

​ ด้าน เซอร์เกย์ ชอยกู (Sergei Shoigu) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของรัสเซียพูดถึงนาโตว่า “แทนที่นาโตจะพยายามปราบปรามศัตรูของโลกอย่างการก่อการร้าย นาโตกลับประกาศว่ารัสเซียคือภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของนาโต และเพิ่มกำลังทางทหารบริเวณชายแดนของเรา”

​ อิกอร์ ซัตยาจิน (Igor Sutyagin) นักวิจัยอาวุโสประจำ London’s Royal United Services Institute ให้สัมภาษณ์กับ New York Times ว่า กองทัพของรัสเซียนั้น ยังถือว่ามีกำลังอ่อนกว่ากองกำลังของนาโต และไม่ใช่ประเทศที่มีกำลังทางทหารแข็งแรงที่สุดในโลก แต่กำลังเพิ่มความสามารถทางเทคนิค ตามคำสั่งของปูติน ซึ่งปูตินนั้นมีอำนาจเหนือกองทัพของตัวเองมากกว่าที่ประเทศสมาชิกนาโตมีกำลังเหนือกองกำลังทหารของนาโต

​ ซัตยาจินระบุว่า “กองกำลังของรัสเซียแข็งแรงกว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ปูตินต้องการใช้อาวุธ เขาไม่จำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากใคร หรือต้องผ่านสภา”

​ สอดคล้องกับรายงานประจำปีของ International Institute for Strategic Studies ของอังกฤษที่ระบุว่า การใช้เรือขีปนาวุธของรัสเซียในซีเรีย และอาวุธอื่นๆ ของรัสเซียนั้นแสดงให้เห็นว่า กำลังของกองทัพรัสเซียนั้นเริ่มไล่ตามทันอาวุธขั้นสูงของฝั่งตะวันตก



ปี 2017 กับความตึงเครียดด้านการใช้อาวุธของมหาอำนาจ
​ แม้ทีมงานของทรัมป์จะออกมาบอกว่า ข้อความของเขานั้นสื่อความหมายถึงการป้องกันการขยายอาวุธนิวเคลียร์ แต่ท่าทีล่าสุดของเขาสร้างความตกใจให้กับบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธนิวเคลียร์

​ เจมส์ แอ็กตัน (James Acton) ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการนโยบายนิวเคลียร์ ของ Carnegie Endowment for International Peace ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว NBC ว่า ขณะที่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ได้เสนอแผนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ให้สหรัฐฯ สามารถปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ได้ทางระเบิด ขีปนาวุธข้ามทวีป และเรือดำน้ำ แต่ในขณะนั้นยังไม่เคยมีใครเรียกร้องให้มีการขยายจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ให้เกิน 4,500 หัว

​ แม้ทรัมป์จะไม่เคยระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับนโยบายด้านอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก่อนหน้านี้ทรัมป์แสดงทัศนะมาโดยตลอดว่า เขาสนับสนุนการเพิ่มกำลังของอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เพราะ “ยังไงมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี” เขาพูดกับ New York Times ว่า “มันแค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นแหละ พวกเขาจะเริ่มมีอาวุธนิวเคลียร์ หรือไม่ก็เราจะต้องทำลายอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด”

​ ตามข้อมูลของ The US Nonpartisan Arms Control Association ปัจจุบันสหรัฐฯ มีจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ 7,100 หัว ขณะที่รัสเซียมี 7,300 หัว

​ โจเซฟ ซิรินโชน (Joseph Cirincione) ประธานองค์กร Ploughshares องค์กรด้านความมั่นคงสากล ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว NBC ว่า

​ “ข้อความทวิตนี้ของทรัมป์จะสร้างการแข่งขันด้านอาวุธไหม? ผมคิดว่าข้อความนี้อาจจะส่งผลอย่างนั้นไปแล้วก็ได้”

กานท์กลอน รักธรรม
ปูตินและทรัมป์พร้อมใจกันประกาศเพิ่มแสนยานุภาพนิวเคลียร์ ปูตินและทรัมป์พร้อมใจกันประกาศเพิ่มแสนยานุภาพนิวเคลียร์ Reviewed by admin on 2:02 AM Rating: 5

No comments